16 พฤศจิกายน 2547
ชี้แจงผลการดำเนินงานไตรมาส3 ปี2547
1. ฐานะการเงิน
1.1 สินทรัพย์
(1) ส่วนประกอบของสินทรัพย์
สำหรับรอบ 6 เดือนสิ้นสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2547 (ตามงบการเงินรวม) บริษัทมีสิน
ทรัพย์รวม 5,855.2 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากจำนวน 5,207.7 ล้านบาท ณ วันที่ 30 กันยายน 2546
โดยเพิ่มขึ้น 647.5 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 12.4 ซึ่งการเพิ่มขึ้นนี้โดยหลักเป็นผลเนื่องมาจาก
การเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์หมุนเวียนจำนวน 674.4 ล้านบาท แต่ถูกหักลบลงบางส่วนด้วยการลดลง
ของสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนจำนวน 26.8 ล้านบาท ทั้งนี้ สินทรัพย์หมุนเวียนที่เพิ่มขึ้นมาก ได้แก่
เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดที่เพิ่มขึ้นจาก 1,104.5 ล้านบาท ณ วันที่ 30 กันยายน 2546 มา
เป็น 1,540.9 ล้านบาท ณ วันที่ 31 มีนาคม 2547 (ตามงบการเงินรวม) โดยเพิ่มขึ้น 436.4 ล้านบาท
หรือคิดเป็นร้อยละ 39.5 ซึ่งสะท้อนถึงการที่บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น และลูกหนี้
การค้า-สุทธิ เพิ่มขึ้น 69.2 ล้านบาท มาเป็น 204.0 ล้านบาท ณ วันที่ 31 มีนาคม 2547 (ตามงบการ
เงินรวม) เนื่องจากบริษัทมียอดขายเพิ่มขึ้น จึงทำให้ลูกหนี้การค้า-สุทธิของบริษัทเพิ่มขึ้นตามยอด
ขายที่เพิ่มขึ้น และรายได้ค้างรับได้เพิ่มขึ้น 210.3 ล้านบาท มาเป็น 628.4 ล้านบาท ณ วันที่ 31
มีนาคม 2547 (ตามงบการเงินรวม) ซึ่งโดยหลักเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ค้างรับจากกลุ่ม
ยูบีซี เนื่องจากปกติกลุ่มยูบีซีจะชำระส่วนแบ่งรายได้ตามสัญญาร่วมดำเนินกิจการให้แก่บริษัทใน
ช่วงประมาณเดือนมิถุนายนของทุกปี ดังนั้น รายได้ค้างรับจากกลุ่มยูบีซี ณ วันที่ 31 มีนาคม 2547
จึงเป็นยอดค้างรับสะสมสำหรับช่วงระยะเวลา 9 เดือน ในขณะที่รายได้ค้างรับจากกลุ่มยูบีซี ณ วัน
ที่ 30 กันยายน 2546 เป็นยอดค้างรับสะสมสำหรับช่วงระยะเวลาเพียง 3 เดือนเท่านั้น นอกจากนี้
สินทรัพย์หมุนเวียนอื่นได้เพิ่มขึ้น 32.2 ล้านบาท มาเป็น 53.6 ล้านบาท ณ วันที่ 31 มีนาคม 2547
(ตามงบการเงินรวม) ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของเงินทดรองจำนวน 9.6 ล้านบาท การเพิ่มขึ้น
ของเงินจ่ายล่วงหน้าจำนวน 16.4 ล้านบาท และการเพิ่มขึ้นของภาษีซื้อที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระ
จำนวน 4.5 ล้านบาท ในขณะที่สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนที่ลดลงมากได้แก่ ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์-
สุทธิ ซึ่งลดลง 23.1 ล้านบาท มาเป็น 2,064.3 ล้านบาท ณ วันที่ 31 มีนาคม 2547 (ตามงบการเงิน
รวม) ซึ่งปรับลดลงจากการหักค่าเสื่อมราคาเป็นจำนวน 117.6 ล้านบาท แม้ว่าบริษัทมีสินทรัพย์ที่
ได้รับเข้ามาในระหว่างงวดเป็นจำนวน 96.2 ล้านบาท และสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนอื่นได้ลดลง 3.1
ล้านบาท เหลือ 50.7 ล้านบาท ณ วันที่ 31 มีนาคม 2547 (ตามงบการเงินรวม) ซึ่งโดยหลักเป็นผลมา
จากเงินค้างรับอื่นที่ลดลง 4.3 ล้านบาท เพราะบริษัทได้รับการชำระเงินค้างรับจากโทรทัศน์รวม
การเฉพาะกิจ และบุคคลอื่น ๆ
ณ วันที่ 30 กันยายน 2546 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 5,207.7 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากจำนวน
4,832.6 ล้านบาท ณ วันที่ 30 กันยายน 2545 โดยเพิ่มขึ้น 375.1 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 7.8 ซึ่ง
การเพิ่มขึ้นนี้เป็นผลโดยตรงมาจากการเพิ่มขึ้นในสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนที่เพิ่มขึ้นถึง 347.6 ล้าน
บาท ซึ่งสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนที่เพิ่มขึ้นนี้ เป็นผลสะท้อนมาจากการเพิ่มขึ้นของที่ดิน อาคารและ
อุปกรณ์-สุทธิ เนื่องจากในระหว่างปีบริษัทได้ซื้อ/รับโอนสินทรัพย์ที่ใช้ในการดำเนินงานของ
บริษัทเป็นจำนวน 540.8 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการรับส่งมอบงานการก่อสร้างอาคารปฏิบัติ
การใหม่จากผู้รับเหมารายใหม่ได้เพิ่มมากขึ้นเพราะผู้รับเหมารายเดิมถูกฟ้องล้มละลายจึงไม่
สามารถทำงานให้ได้ และอีกส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการได้รับมอบ สินทรัพย์จากการขยายเครือ
ข่ายบริการสถานีวิทยุในส่วนภูมิภาคจำนวน 5 แห่ง และได้รับมอบอุปกรณ์เครื่องมือต่าง ๆ จากการ
ปรับปรุงห้องส่ง 1 (Studio 1) ที่ทำขึ้นเพื่อใช้ออกอากาศรายการสด นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับโอน
สินทรัพย์ภายใต้สัญญาร่วมดำเนินกิจการเพิ่มในระหว่างปีเป็นจำนวน 31.6 ล้านบาท แต่อย่างไรก็ดี
สินทรัพย์ที่มีเพิ่มขึ้นดังกล่าวนี้ได้ถูกหักลบไปบางส่วนจากการเพิ่มขึ้นของค่าเสื่อมราคา
ในส่วนของสินทรัพย์หมุนเวียนนั้นมีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย โดยสินทรัพย์หมุน
เวียนที่เพิ่มขึ้นมาก ได้แก่ เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดที่เพิ่มขึ้นจาก 86.8 ล้านบาท ณ วันที่
30 กันยายน 2545 เป็น 1,104.5 ล้านบาท ณ วันที่ 30 กันยายน 2546 ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 1,017.7 ล้านบาท
หรือคิดเป็นร้อยละ 1,172.5 ทั้งนี้เนื่องจากบริษัทได้เปลี่ยนเงินลงทุนระยะสั้นที่เป็นเงินฝากประจำ
ธนาคารที่มีระยะเวลาไถ่ถอนเกิน 3 เดือน เป็นเงินฝากออมทรัพย์และเงินฝากประจำระยะสั้น (ซึ่ง
จัดอยู่ในรายการเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด) แทน เงินฝากที่มีภาระผูกพันได้เพิ่มขึ้นจาก
445.7 ล้านบาท ณ วันที่ 30 กันยายน 2545 เป็น 534.4 ล้านบาท ณ วันที่ 30 กันยายน 2546 ซึ่งเพิ่ม
ขึ้นถึง 88.7 ล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ 19.9 เนื่องจากบริษัทมีภาระที่ต้องดำรงเงินฝากไว้กับ
ธนาคารแห่งหนึ่งเพิ่มขึ้นตามเงื่อนไขที่ว่า บริษัทต้องมีเงินฝากไว้กับธนาคารเป็นจำนวนสองเท่า
ของเงินที่พนักงานเป็นหนี้อยู่กับธนาคาร เพื่อให้พนักงานของบริษัทได้รับดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อที่อยู่
อาศัยในอัตราพิเศษจากธนาคารดังกล่าว และรายได้ค้างรับของบริษัทได้เพิ่มขึ้นจาก 336.7 ล้าน
บาท ณ วันที่ 30 กันยายน 2545 เป็น 418.1 ล้านบาท ณ วันที่ 30 กันยายน 2546 โดยเพิ่มขึ้นถึง 81.4
ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 24.2 โดยรายได้ค้างรับ ประกอบด้วย (ก) รายได้ค่าตอบแทนร่วม
ดำเนินกิจการค้างรับ (ข) รายได้จากค่าเช่าเวลาและค่าโฆษณาค้างรับ และ (ค) ดอกเบี้ยค้างรับ ซึ่ง
รายได้ค้างรับจากค่าตอบแทนร่วมดำเนินกิจการจากกลุ่มยูบีซีเพิ่มขึ้นจาก 305.3 ล้านบาท ณ วันที่
30 กันยายน 2545 เป็น 328.8 ล้านบาท ณ วันที่ 30 กันยายน 2546 โดยเป็นการเพิ่มขึ้นเนื่องจากการ
ได้รับส่วนแบ่งรายได้จากกลุ่มยูบีซีได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ กลุ่มยูบีซีจะนำส่งส่วนแบ่งรายได้
ในช่วงเวลาประมาณไตรมาส 3 ของปีงบประมาณถัดไป นอกจากนี้ รายได้ค่าเช่าเวลาและค่า
โฆษณาค้างรับได้เพิ่มขึ้นจาก 18.5 ล้านบาท ณ วันที่ 30 กันยายน 2545 เป็น 79.2 ล้านบาท ณ วันที่
30 กันยายน 2546 ซึ่งการเพิ่มขึ้นนี้โดยหลักเป็นการเพิ่มขึ้นตามรายได้จากการดำเนินของบริษัท
สำหรับสินทรัพย์หมุนเวียนที่ลดลงมากได้แก่ เงินลงทุนระยะสั้นที่ลดลงจาก 1,778.3
ล้านบาท ณ วันที่ 30 กันยายน 2545 เหลือเพียง 724.9 ล้านบาท ณ วันที่ 30 กันยายน 2546 โดยลด
ลงถึง 1,053.4 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 59.2 อันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนเงินลงทุนระยะสั้น
เป็นเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดแทนดังที่ได้อธิบายแล้วข้างต้น ลูกหนี้การค้า-สุทธิได้ลดลง
จาก 222.8 ล้านบาท ณ วันที่ 30 กันยายน 2545 เหลือ 134.8 ล้านบาท ณ วันที่ 30 กันยายน 2546
โดยลดลง 88.0 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 39.5 เนื่องจากบริษัทมีประสิทธิภาพในการติดตาม
เก็บหนี้ดีขึ้น ค่าใช้จ่ายจ่ายล่วงหน้าลดลงจาก 15.1 ล้านบาท ณ วันที่ 30 กันยายน 2545 เหลือ 13.1
ล้านบาท ณ วันที่ 30 กันยายน 2546 โดยลดลง 2.0 ล้านบาท หรือคิดเป็น ร้อยละ 13.5 เนื่องจาก
การลดลงของค่าภาพยนตร์จ่ายล่วงหน้า และสินทรัพย์หมุนเวียนอื่นลดลงจาก 41.0 ล้านบาท ณ วัน
ที่ 30 กันยายน 2545 เหลือ 21.4 ล้านบาท ณ วันที่ 30 กันยายน 2546 โดยลดลง 19.6 ล้านบาท หรือ
คิดเป็นร้อยละ 47.8 ซึ่งโดยหลักเป็นผลมาจากการลดลงของเงินจ่ายล่วงหน้าอื่น เนื่องจากบริษัทมี
ภาระที่ต้องจ่ายเงินล่วงหน้าให้แก่ผู้รับเหมาตามสัญญาว่าจ้างเพื่อซื้อเครื่องมือและอุปกรณ์ลดลง
เมื่อเปรียบเทียบสินทรัพย์รวม ณ วันที่ 30 กันยายน 2544 กับวันที่ 30 กันยายน 2545 พบ
ว่า บริษัทมีสินทรัพย์รวมลดลงจากจำนวน 6,014.8 ล้านบาท ณ วันที่ 30 กันยายน 2544 เป็น
4,832.6 ล้านบาท ณ วันที่ 30 กันยายน 2545 โดยลดลงถึง 1,182.2 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ
19.7 ซึ่งการลดลงนี้สะท้อนถึงการที่ในปี 2545 บริษัทต้องจัดสรรเงินนำส่งกระทรวงการคลังเพิ่ม
เติมอีกจำนวน 1,500 ล้านบาท โดยจัดสรรจากกำไรสะสมของบริษัท ซึ่งเป็นการจัดสรรนอกเหนือ
จากการจัดสรรจากรายได้จากผลการดำเนินงานตามปกติที่บริษัทมีหน้าที่ต้องจัดสรรเพื่อนำส่ง
กระทรวงการคลังเป็นรายได้แผ่นดินประมาณร้อยละ 60 ของกำไรสุทธิประจำปี อันมีผลทำให้ยอด
สินทรัพย์หมุนเวียนลดลงจาก 4,422.5 ล้านบาท ณ วันที่ 30 กันยายน 2544 เหลือเพียง 2,974.6 ล้าน
บาท ณ วันที่ 30 กันยายน 2545 ซึ่งลดลงถึง 1,447.9 ล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ 32.7
(2) หนี้สิน
สำหรับรอบ 6 เดือนสิ้นสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2547 (ตามงบการเงินรวม) บริษัทมีหนี้
สินรวม 1,798.0 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากจำนวน 1,331.5 ล้านบาท ณ วันที่ 30 กันยายน 2546 โดย
เพิ่มขึ้น 466.5 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 35.0 ซึ่งการเพิ่มขึ้นนี้โดยหลักเป็นผลเนื่องมาจากการ
เพิ่มขึ้นของหนี้สินหมุนเวียนจำนวน 471.1 ล้านบาท แต่ถูกหักลบลงบางส่วนด้วยการลดลงของหนี้
สินไม่หมุนเวียนจำนวน 4.6 ล้านบาท ทั้งนี้ หนี้สินหมุนเวียนที่เพิ่มขึ้นมาก ได้แก่ เงินนำส่ง
กระทรวงการคลังค้างจ่ายที่เพิ่มขึ้นจาก 469.0 ล้านบาท ณ วันที่ 30 กันยายน 2546 มาเป็น 829.8
ล้านบาท ณ วันที่ 31 มีนาคม 2547 (ตามงบการเงินรวม) โดยเพิ่มขึ้น 360.8 ล้านบาท หรือคิดเป็น
ร้อยละ 76.9 โดยหลักเป็นผลเนื่องมาจากบริษัทมีผลการดำเนินงานดีขึ้น ทำให้จำนวนเงินที่จะต้อง
นำส่งกระทรวงการคลังในอัตราประมาณร้อยละ 60 ของกำไรสุทธิประจำปี ได้เพิ่มขึ้นตามไปด้วย
โดยเงินนำส่งกระทรวงการคลังค้างจ่าย ณ วันที่ 31 มีนาคม 2547 เป็นยอดค้างจ่ายสะสมสำหรับผล
การดำเนินงานรอบ 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2547 รวมกับยอดค้างจ่ายเดิมของปีงบประมาณ
2546 ที่ยังไม่ได้นำส่งกระทรวงการคลัง ในขณะที่เงินนำส่งกระทรวงการคลังค้างจ่าย ณ วันที่ 30
กันยายน 2546 เป็นเพียงยอดค้างจ่ายสะสมสำหรับผลการดำเนินงานของปีงบประมาณ 2546 เท่า
นั้น และค่าใช้จ่ายค้างจ่ายที่เพิ่มขึ้นจาก 182.0 ล้านบาท ณ วันที่ 30 กันยายน 2546 มาเป็น 315.8
ล้านบาท ณ วันที่ 31 มีนาคม 2547 (ตามงบการเงินรวม) โดยเพิ่มขึ้น 133.8 ล้านบาท หรือคิดเป็น
ร้อยละ 73.5 ซึ่งโดยหลักเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายรางวัลหาโฆษณาจำนวน 50.4 ล้าน
บาท ซึ่งเพิ่มขึ้นตามยอดขายของบริษัทที่เพิ่มขึ้น และอีกส่วนเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของการเงิน
โบนัสประจำปีค้างจ่ายที่เตรียมไว้จ่ายให้แก่พนักงานจำนวน 52.7 ล้านบาท ซึ่งบริษัทจะสามารถ
จ่ายเงินโบนัสได้ต่อเมื่อได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงการคลัง โดย ณ วันที่ 31 มีนาคม 2547
บริษัทยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงการคลัง จึงยังไม่มีการจ่ายเงินโบนัสให้แก่พนักงาน
ในขณะที่หนี้สินหมุนเวียนอื่นลดลงจาก 119.1 ล้านบาท ณ วันที่ 30 กันยายน 2546 มาเป็น 87.6
ล้านบาท ณ วันที่ 31 มีนาคม 2547 (ตามงบการเงินรวม) โดยลดลง 31.5 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อย
ละ 26.4 เนื่องจากบริษัทได้มีการจ่ายชำระคืนหนี้ให้แก่เจ้าหนี้อื่น ๆ ทำให้ยอดหนี้ดังกล่าวลดลง
สำหรับหนี้สินไม่หมุนเวียนที่ลดลงมาก ได้แก่ รายได้รอตัดบัญชี ? สุทธิ ที่ลดลงจาก 333.0 ล้าน
บาท ณ วันที่ 30 กันยายน 2546 มาเป็น 315.6 ล้านบาท ณ วันที่ 31 มีนาคม 2547 (ตามงบการเงิน
รวม) โดยลดลง 17.4 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 5.2 แต่การลดลงของหนี้สินไม่หมุนเวียนนี้ได้
ถูกบวกกลับบางส่วนจากการเพิ่มขึ้นของเงินสำรองชดเชยพนักงานที่เพิ่มขึ้น 10.7 ล้านบาท เนื่อง
จากบริษัทได้มีการตั้งสำรองเพิ่มขึ้นตามอายุงานของพนักงานแต่ละคนที่ทำงานให้แก่บริษัท
ณ วันที่ 30 กันยายน 2546 บริษัทมีหนี้สินรวม 1,331.5 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากจำนวน
1,270.9 ล้านบาท ณ วันที่ 30 กันยายน 2545 โดยเพิ่มขึ้น 60.6 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 4.8 ซึ่ง
เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของหนี้สินหมุนเวียนที่เพิ่มขึ้นถึง 67.4 ล้านบาท แต่ถูกหักลบบางส่วน
ด้วยการลดลงของหนี้สินไม่หมุนเวียนจำนวน 6.8 ล้านบาท โดยหนี้สินหมุนเวียนที่เพิ่มขึ้นมาก ได้
แก่ รายได้รับล่วงหน้าที่เพิ่มขึ้นจาก 28.3 ล้านบาท ณ วันที่ 30 กันยายน 2545 เป็น 44.8 ล้านบาท ณ
วันที่ 30 กันยายน 2546 ซึ่งเพิ่มขึ้น 16.5 ล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ 58.3 ซึ่งเป็นผลสะท้อนมาจาก
การที่บริษัทมีรายได้ค่าโฆษณาจากบริการทางโทรทัศน์เพิ่มมากขึ้น จึงทำให้บริษัทมีรายได้รับล่วง
หน้าจากลูกค้าหรือเอเยนซี่ผู้โฆษณาที่จ่ายเงินค่าโฆษณาให้แก่บริษัทล่วงหน้า ประกอบกับบริษัท
ได้พยายามลดระยะเวลาการเก็บเงินด้วยการให้ส่วนลดการค้าหากลูกค้าชำระหนี้เร็ว จึงทำให้ลูกค้า
บางส่วนยอมที่จะชำระเงินให้แก่บริษัทล่วงหน้าด้วย และหนี้สินหมุนเวียนอื่นที่เพิ่มขึ้นจาก 90.5
ล้านบาท ณ วันที่ 30 กันยายน 2545 เป็น 119.1 ล้านบาท ณ วันที่ 30 กันยายน 2546 ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง
28.6 ล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ 31.6 เนื่องจากบริษัทได้รับการส่งมอบงานการก่อสร้างอาคาร
ปฏิบัติการใหม่จากผู้รับเหมารายใหม่ ประกอบกับได้รับมอบสินทรัพย์จากการขยายเครือข่ายสถานี
วิทยุในภูมิภาคจำนวน 5 แห่ง และได้รับมอบอุปกรณ์เครื่องมือต่าง ๆ จากการปรับปรุงห้องส่ง 1
(Studio 1) ที่ได้มีการดำเนินการแล้วเสร็จ จึงทำให้บริษัทมียอดเจ้าหนี้อื่น ? ซื้อที่ดิน อาคารและ
อุปกรณ์สำนักงานเพิ่มขึ้นจาก 48.7 ล้านบาท ณ วันที่ 30 กันยายน 2545 เป็น 95.1 ล้านบาท ณ วันที่
30 กันยายน 2546 โดยเพิ่มขึ้น 46.4 ล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ 95.3 ซึ่งถูกหักลบบางส่วนด้วยการ
ลดลงของค่าตอบแทนสิทธิจาก 7.6 ล้านบาท ณ วันที่ 30 กันยายน 2545 เป็น 0.6 ล้านบาท ณ วันที่
30 กันยายน 2546 ซึ่งลดลงถึง 7.0 ล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ 92.1 สำหรับหนี้สินไม่หมุนเวียนที่
ลดลงมาก ได้แก่ รายได้รอตัดบัญชี-สุทธิ ที่ลดลงจาก 352.5 ล้านบาท ณ วันที่ 30 กันยายน 2545
เป็น 333.0 ล้านบาท ณ วันที่ 30 กันยายน 2546 ลดลง 19.5 ล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ 5.5 ซึ่งราย
ได้รอตัดบัญชีนี้เกิดจากการบันทึกสินทรัพย์รับโอนภายใต้สัญญาร่วมดำเนินกิจการ โดยในระหว่าง
ปีบริษัทได้มีการรับโอนสินทรัพย์ภายใต้สัญญาร่วมดำเนินกิจการเป็นจำนวน 31.6 ล้านบาท ซึ่งหัก
ลบด้วยการจำหน่ายสินทรัพย์และค่าเสื่อมราคาสินทรัพย์ภายใต้สัญญาร่วมดำเนินกิจการจำนวน
1.7 ล้านบาท และ 49.3 ล้านบาท ตามลำดับ
เมื่อเปรียบเทียบหนี้สินรวม ณ วันที่ 30 กันยายน 2545 กับวันที่ 30 กันยายน 2544 พบว่า
บริษัทมีหนี้สินรวมลดลงเล็กน้อยจากจำนวน 1,282.4 ล้านบาท ณ วันที่ 30 กันยายน 2544 โดยลด
ลง 11.5 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 0.9 ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของหนี้สินหมุนเวียนที่เพิ่ม
ขึ้น 76.1 ล้านบาท แต่ถูกบวกกลับด้วยการลดลงของหนี้สินไม่หมุนเวียนจำนวน 87.5 ล้านบาท
1.2 สภาพคล่อง
สำหรับรอบ 6 เดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2547 (ตามงบการเงินรวม) บริษัทมีเงินสด
และรายการเทียบเท่าเงินสดเพิ่มขึ้นสุทธิเป็นจำนวน 436.4 ล้านบาท และสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30
กันยายน 2546 บริษัทมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดเพิ่มขึ้นสุทธิเป็นจำนวน 1,017.8 ล้าน
บาท ในขณะที่สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2545 และ 2544 บริษัทมีเงินสดและรายการเทียบ
เท่าเงินสดลดลงสุทธิเป็นจำนวน 384.2 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดเกี่ยวกับกระแสเงินสดของ
บริษัทเป็นดังนี้
(1) กระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน
สำหรับรอบ 6 เดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2547 (ตามงบการเงินรวม) กระแสเงินสด
สุทธิจากกิจกรรมดำเนินงาน เป็นยอดเงินสดสุทธิได้มาจำนวน 409.5 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก
จำนวน 225.4 ล้านบาท สำหรับรอบ 6 เดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2546 โดยหลักเป็นผลเนื่องมา
จาก
? การเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิจำนวน 538.4 ล้านบาท เมื่อเทียบกับการเพิ่มขึ้นของ
กำไรสุทธิจำนวน 318.8 ล้านบาทสำหรับรอบ 6 เดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม
2546
? การเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายค้างจ่ายจำนวน 133.8 ล้านบาท เมื่อเทียบกับการลดลง
ของค่าใช้จ่ายค้างจ่ายจำนวน 7.1 ล้านบาทสำหรับรอบ 6 เดือนสิ้นสุดวันที่ 31
มีนาคม 2546
? การเพิ่มขึ้นของเงินกู้ยืมระยะสั้นจำนวน 2.4 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินกู้ยืมของ
บริษัท พาโนราม่า เวิลด์ไวด์ จำกัด จากเดิมที่ไม่มีสำหรับรอบ 6 เดือนสิ้นสุดวัน
ที่ 31 มีนาคม 2546
ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของกระแสเงินสดสุทธิจากกิจกรรมดำเนินงานดังกล่าวข้างต้น ส่วน
หนึ่งได้ถูกหักลบโดย
การเพิ่มขึ้นของลูกหนี้การค้าจำนวน 65.6 ล้านบาท เมื่อเทียบกับการเพิ่มขึ้น
ของลูกหนี้การค้าจำนวน 45.1 ล้านบาทสำหรับรอบ 6 เดือนสิ้นสุดวันที่ 31
มีนาคม 2546
การเพิ่มขึ้นของรายได้ค้างรับจำนวน 210.3 ล้านบาท เมื่อเทียบกับการเพิ่มขึ้น
ของรายได้ค้างรับจำนวน 198.4 ล้านบาทสำหรับรอบ 6 เดือนสิ้นสุดวันที่ 31
มีนาคม 2546
การเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์หมุนเวียนอื่นจำนวน 32.2 ล้านบาท เมื่อเทียบกับการ
เพิ่มขึ้นของสินทรัพย์หมุนเวียนอื่นจำนวน 13.7 ล้านบาทสำหรับรอบ 6 เดือน
สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2546
การลดลงของเจ้าหนี้การค้าจำนวน 4.4 ล้านบาท เมื่อเทียบกับการเพิ่มขึ้นของ
เจ้าหนี้การค้าจำนวน 32.0 ล้านบาทสำหรับรอบ 6 เดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม
2546
การลดลงของหนี้สินหมุนเวียนอื่นจำนวน 65.8 ล้านบาท เมื่อเทียบกับการลด
ลงของหนี้สินหมุนเวียนอื่นจำนวน 41.8 ล้านบาทสำหรับรอบ 6 เดือนสิ้นสุด
วันที่ 31 มีนาคม 2546
สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2546 กระแสเงินสดสุทธิจากกิจกรรมดำเนินงานหลัง
การเปลี่ยนแปลงในสินทรัพย์และหนี้สินดำเนินงานของบริษัท เป็นยอดเงินสดสุทธิได้มาจำนวน
906.4 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากจำนวน 781.3 ล้านบาท สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2545 โดย
หลักเป็นผลเนื่องมาจาก
การเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิจำนวน 766.1 ล้านบาท เมื่อเทียบกับการเพิ่มขึ้นของ
กำไรสุทธิจำนวน 746.5 ล้านบาทสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2545
การลดลงของลูกหนี้การค้าจำนวน 201.7 ล้านบาท เมื่อเทียบกับการเพิ่มขึ้นของ
ลูกหนี้การค้าจำนวน 43.2 ล้านบาทสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2545
การลดลงของค่าใช้จ่ายจ่ายล่วงหน้าจำนวน 2.0 ล้านบาท เมื่อเทียบกับการเพิ่ม
ขึ้นของค่าใช้จ่ายจ่ายล่วงหน้าจำนวน 2.1 ล้านบาทสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30
กันยายน 2545
การลดลงของสินทรัพย์หมุนเวียนอื่นจำนวน 19.6 ล้านบาท เมื่อเทียบกับการ
ลดลงของสินทรัพย์หมุนเวียนอื่นจำนวน 26.1 ล้านบาทสำหรับปีสิ้นสุดวันที่
30 กันยายน 2545
การลดลงของสินทรัพย์อื่นจำนวน 1.7 ล้านบาท เมื่อเทียบกับการเพิ่มขึ้นของ
สินทรัพย์อื่นจำนวน 5.0 ล้านบาทสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2545
การลดลงของลูกหนี้ร่วมดำเนินกิจการจำนวน 37.3 ล้านบาท เมื่อเทียบกับการ
เพิ่มขึ้นของลูกหนี้ร่วมดำเนินกิจการจำนวน 39.0 ล้านบาทสำหรับปีสิ้นสุดวันที่
30 กันยายน 2545
การเพิ่มขึ้นของรายได้รับล่วงหน้าจำนวน 45.7 ล้านบาท เมื่อเทียบกับการลดลง
ของรายได้รับล่วงหน้าจำนวน 3.9 ล้านบาทสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน
2545
การเพิ่มขึ้นของเจ้าหนี้การค้าจำนวน 1.2 ล้านบาท เมื่อเทียบกับการลดลงของ
เจ้าหนี้การค้าจำนวน 11.2 ล้านบาทสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2545
การเพิ่มขึ้นของหนี้สินอื่นจำนวน 5.4 ล้านบาท เมื่อเทียบกับการเพิ่มขึ้นของหนี้
สินอื่นจำนวน 3.0 ล้านบาทสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2545
ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของกระแสเงินสดสุทธิจากกิจกรรมดำเนินงานหลังการเปลี่ยนแปลงใน
สินทรัพย์และหนี้สินดำเนินงานของบริษัทส่วนหนึ่งได้ถูกหักลบโดย
การเพิ่มขึ้นของรายได้ค้างรับจำนวน 81.3 ล้านบาท เมื่อเทียบกับการเพิ่มขึ้น
ของรายได้ค้างรับจำนวน 27.4 ล้านบาทสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2545
การเพิ่มขึ้นของลิขสิทธิ์ภาพยนตร์และต้นทุนผลิตรายการจำนวน 36.6 ล้าน
บาท เมื่อเทียบกับการเพิ่มขึ้นของรายได้ค้างรับจำนวน 40.2 ล้านบาทสำหรับปี
สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2545
การลดลงของค่าใช้จ่ายค้างจ่ายจำนวน 11.4 ล้านบาท เมื่อเทียบกับการเพิ่มขึ้น
ของค่าใช้จ่ายค้างจ่ายจำนวน 35.1 ล้านบาทสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน
2545
ทั้งนี้ กระแสเงินสดสุทธิจากกิจกรรมดำเนินงานหลังการเปลี่ยนแปลงในสินทรัพย์และ
หนี้สินดำเนินงานของบริษัท สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2545 เป็นยอดเงินสดสุทธิได้มา
จำนวน 781.3 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากยอดเงินสดสุทธิได้มาจำนวน 767.3 ล้านบาท สำหรับปีสิ้น
สุดวันที่ 30 กันยายน 2544 เพียงร้อยละ 1.8
(2) กระแสเงินสดจากกิจกรรมลงทุน
สำหรับรอบ 6 เดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2547 (ตามงบการเงินรวม) กระแสเงินสด
จากกิจกรรมลงทุนของบริษัทมียอดเป็นเงินสดสุทธิได้มาจากกิจกรรมลงทุน จำนวนเท่ากับ 21.8
ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการที่บริษัทมีเงินลงทุนระยะสั้นลดลงจำนวน 73.5 ล้านบาท และบริษัท
ได้มีการจำหน่ายสินทรัพย์ทำให้มีเงินสดรับจากการจำหน่ายทรัพย์สินจำนวน 1.0 ล้านบาท แต่ถูก
ใช้ไปบางส่วนด้วยการลงทุนในที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์จำนวน 52.8 ล้านบาท
สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2546 และ 2545 กระแสเงินสดจากกิจกรรมลงทุนของ
บริษัทมียอดเป็นเงินสดสุทธิได้มาจากกิจกรรมลงทุน จำนวนเท่ากับ 547.9 ล้านบาท และ 687.6
ล้านบาท ตามลำดับ ในขณะที่กระแสเงินสดจากกิจกรรมลงทุนของบริษัทสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30
กันยายน 2544 มียอดเป็นเงินสดสุทธิใช้ไปในกิจกรรมลงทุนจำนวนเท่ากับ 1,169.3 ล้านบาท โดย
สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2546 และ 2545 บริษัทมีเงินลงทุนระยะสั้นเพิ่มขึ้นเท่ากับ 964.7
ล้านบาท และ 1,124.2 ล้านบาท ส่วนปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2544 บริษัทมีเงินลงทุนระยะสั้น
ลดลงเท่ากับ 1,090.5 ล้านบาท
บริษัทมีเงินจ่ายลงทุนในที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ เพิ่มขึ้นจากจำนวน 80.1 ล้านบาท
สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2544 เป็นจำนวน 411.0 ล้านบาท และ 445.6 ล้านบาท สำหรับปี
สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2545 และ 2546 ตามลำดับ เนื่องจากในปี 2545 ได้มีการซื้ออุปกรณ์เครื่อง
มือในการพัฒนาเครือข่ายสถานีโทรทัศน์เพื่อแก้ไขปัญหาจุดบอดในบางพื้นที่ และในปี 2546
บริษัทได้มีการขยายเครือข่ายสถานีวิทยุในภูมิภาคจำนวน 5 แห่ง และได้ดำเนินการก่อสร้างตึก
ปฏิบัติการใหม่ให้แล้วเสร็จ พร้อมทั้งได้มีการจัดซื้ออุปกรณ์เครื่องมือในการปฏิบัติงาน นอกจากนี้
บริษัทยังได้มีการปรับปรุงห้องส่ง 1 (Studio 1) เพื่อใช้ออกอากาศรายการสดด้วย
(3) กระแสเงินสดจากกิจกรรมจัดหาเงิน
สำหรับรอบ 6 เดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2547 (ตามงบการเงินรวม) กระแสเงินสด
จากกิจกรรมจัดหาเงินของบริษัทมียอดเป็นเงินสดสุทธิได้มาจากกิจกรรมจัดหาเงินจำนวน 5.1 ล้าน
บาท โดยเป็นเงินสดรับจากการลงทุนของบริษัทในฐานะที่เป็นผู้ถือหุ้นส่วนน้อยในบริษัท พาโนรา
ม่า เวิลด์ไวด์ จำกัด
สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2544, 2545 และ 2546 กระแสเงินสดจากกิจกรรมจัด
หาเงินของบริษัทมียอดเป็นเงินสดสุทธิใช้ไปในกิจกรรมจัดหาเงิน โดยมีจำนวนเท่ากับ 253.9 ล้าน
บาท 1,853.1 ล้านบาท และ 436.5 ล้านบาท ตามลำดับ โดยทั้งหมดเป็นการใช้ไปเพื่อจ่ายเป็นเงิน
นำส่งกระทรวงการคลัง ซึ่งปกติบริษัทมีหน้าที่ต้องจัดสรรเพื่อนำส่งกระทรวงการคลังเป็นรายได้
แผ่นดินประมาณร้อยละ 60 ของกำไรสุทธิประจำปี โดยในปี 2545 บริษัทได้จัดสรรเงินนำส่ง
กระทรวงการคลังเพิ่มจากปกติเป็นจำนวน 1,500 ล้านบาท โดยจัดสรรจากกำไรสะสมของบริษัท
ณ วันที่ 30 กันยายน 2546 บริษัทมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดจำนวน 1,104.5
ล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมกับเงินสดสุทธิได้มาจากการดำเนินงานในรอบ 6 เดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม
2547 (ตามงบการเงินรวม) จำนวน 409.5 ล้านบาท เงินสดสุทธิได้มาจากกิจกรรมลงทุนจำนวน
21.8 ล้านบาท และเงินสดสุทธิได้มาจากกิจกรรมจัดหาเงินจำนวน 5.1 ล้านบาท ทำให้ ณ วันที่ 31
มีนาคม 2547 บริษัทมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด เป็นจำนวน 1,540.9 ล้านบาท ทั้งนี้ ใน
เดือนสิงหาคม 2547 บริษัทได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายเพื่อจัดซื้อที่ดินเนื้อที่ประมาณ 51 ไร่ ในราคา
ประมาณ 1,117.2 ล้านบาท จากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ธนาคารแห่ง
ประเทศไทย ซึ่งเมื่อพิจารณาถึงผลกระทบของสภาพคล่องของบริษัทภายหลังจากการซื้อที่ดินดัง
กล่าว รวมถึงเงินที่จะต้องนำส่งกระทรวงการคลังเพื่อเป็นรายได้แผ่นดินสำหรับระยะเวลาก่อนที่
จะแปลงสภาพ (คือ วันที่ 1 ตุลาคม 2546 ถึงวันที่ 16 สิงหาคม 2547) บริษัทจะยังคงมีสภาพคล่อง
เพียงพอในการดำเนินธุรกิจ
2. การวิเคราะห์ผลการดำเนินงานสำหรับรอบสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2547
ผลการดำเนินงานของบริษัท สำหรับรอบสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2547 (ตาม
งบการเงินรวม) บริษัทมีรายได้สำหรับรอบสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2547 (ตามงบการ
เงินรวม) เป็นจำนวนเท่ากับ 701.0 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากรอบระยะเวลาเดียวกันของปีก่อนที่มี
จำนวนเท่ากับ 448.1 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นถึง 252.9 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 56.4 ซึ่งการเพิ่ม
ขึ้นของรายได้ของบริษัทนี้ ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นอย่างมากของรายได้จากการดำเนิน
งาน โทรทัศน์และวิทยุที่เพิ่มขึ้นจากรอบระยะเวลาเดียวกันของปีก่อนเป็นจำนวน 246.4 ล้าน
บาท หรือคิดเป็นร้อยละ 82.1 ซึ่งเป็นผลเนื่องมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการบริการทางโทร
ทัศน์ในส่วนที่เป็นรายได้ค่าโฆษณาเป็นหลัก ประกอบกับรายได้จากการบริการทางวิทยุในส่วนที่
เป็นรายได้ค่าโฆษณาก็ได้เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกันแม้จะเป็นสัดส่วนที่น้อยกว่าของโทรทัศน์ ทั้งนี้เพราะ
บริษัทสามารถเพิ่มพื้นที่การขายโฆษณาและนำพื้นที่โฆษณาเหล่านั้นไปหาประโยชน์ในรูปของ
รายได้ค่าโฆษณาได้เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของรายได้ของบริษัทอีกส่วนหนึ่งยังเป็นผล
มาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการร่วมดำเนินกิจการที่เพิ่มขึ้นจากรอบระยะเวลาเดียวกันของปี
ก่อนเป็นจำนวน 9.1 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 6.6 ซึ่งเป็นผลมาจากบริษัทได้รับส่วนแบ่งรายได้
จากการร่วมดำเนินกิจการจากกลุ่มยูบีซีเพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ดี การเพิ่มขึ้นของรายได้ของบริษัทได้
ถูกหักลบบางส่วนจากการลดลงของรายได้อื่นที่ลดลงจากรอบระยะเวลาเดียวกันของปีก่อนเป็น
จำนวน 2.6 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 27.7
ในส่วนของค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงาน บริษัทมีค่าใช้จ่ายรวมสำหรับรอบสามเดือนสิ้น
สุดวันที่ 30 มิถุนายน 2547 (ตามงบการเงินรวม) เป็นจำนวนเท่ากับ 417.1 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก
(ยังมีต่อ)